ระยะการเกิดเหตุเพลิงไหม้หรือไฟไหม้
ระยะการเกิดเหตุเพลิงไหม้หรือไฟไหม้
จะมีการอยู่ 4 ระยะดังนี้
1. ระยะเริ่มต้น
2. ระยะเกิดเป็นควัน
3. ระยะเกิดเปลวไฟ
4. ระยะเกิดความร้อนสูง
1. ระยะเริ่มต้น
การสลายตัวเนื่องจากความร้อนของวัสดุที่ไหม้ไฟได้ จะเกิดอนุภาคเล็ก ๆ จำนวนมาก ซึ่งอนุภาคเหล่านี้มีทั้งอนุภาคของแข็งและอนุภาคของเหลว ซึ่งประกอบด้วย คาร์บอนซึ่งยังไม่ไหม้ไฟ ไอน้ำ และก๊าซต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นด้วยการสลายตัวเนื่องจากความร้อนอนุภาคที่ไหม้ไฟเหล่านี้ ในระยะเริ่มต้นจะมีขนาดเล็กมาก น้อยกว่า 1 ไมครอน (หนึ่งในล้านของเมตร) ซึ่งตาของมนุษย์โดยทั่วไปไม่อาจมองเห็นอนุภาคที่เล็กกว่า 5 ไมครอนได้ดังนั้นการเกิดการเผาไหม้ในระยะเริ่มต้นนี้จึงยังมองไม่เห็น
2. ระยะเกิดเป็นควัน
ถ้าเพลิงที่เกิดในเชื้อเพลิงที่เป็นของแข่งยังคงดำเนินต่อไป มันจะถึงระยะที่เกิดเป็นควันขึ้น การเผาไหม้จะเพิ่มขึ้นจนถึงจุดซึ่งทั้งปริมาณและมวลสารของอนุภาครวมตัวกันเพิ่มขึ้นจนเกิดเป็นควันที่มองเห็นได้ ความร้อนที่ออกมาจะเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยให้การลุกไหม้ดำเนินติดต่อไปได้เอง
3. ระยะเกิดเปลวไฟ
ระยะนี้ปริมาณความร้อนมากพอที่จะจุดก๊าซ และอนุภาคที่ยังไม่ไหม้ไฟซึ่งเกิดจากการสลายตัวเนื่องจากความร้อนให้ลุกไหม้ขึ้น เมื่อไฟเข้ามาถึงระยะเกิดเปลวไฟแล้ว มันจะเกิดพลังงานพอเพียงที่จะทำให้เกิดการลุกไหม้ต่อไปได้ด้วยตัวของมันเอง และความร้อนจะสูงขึ้นตราบใดที่ยังมีเชื้อเพลิง ออกซิเจน และอุณภูมิสูงกว่าจุดติดไฟของเชื้อเพลิงนั้นอยู่
4. ระยะเกิดความร้อนสูง
ระยะนี้เป็นระยะสุดท้ายของเพลิง เป็นช่วงที่เกิดความร้อนสูงตามมาอย่างรวดเร็วถ้าเพลิงลุกลามขึ้นมาถึงขั้นนี้จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากมาย และอยากที่จะดับลงได้
ส่วนประกอบหลัก ๆ ของระบบสัญญาณเตือนอัคคีภัย
ส่วนประกอบหลัก ๆ ของระบบสัญญาณเตือนอัคคีภัย
1. ตู้ควบคุม (Control Panel)
• ชุดจ่ายไฟ (Power Supply Unit)
• ชุดสำรองไฟ (Batterry Unit)
2. อุปกรณ์เริ่มสัญญาณ (Initiating Devices)
3. อุปกรณ์แจ้งสัญญาณ (Notification Appliance Devices, NAC)
4. อุปกรณ์แยกแจ้งสัญญาณ (Graphic Annunciator)
5. อุปกรณ์เสริม (Auxiliary Devices)
1. ตู้ควบคุม (Control Panel)
• ระบบการแจ้งเหตุเป็นโซน (Conventional System)
• ระบบการแจ้งเหตุเป็นจุด (Addressable System)
ส่วนประกอบที่สำคัญ
• CPU
• ชุดอุปกรณ์เริ่มสัญญาณ (Initiating Devices)
• ชุดอุปกรณ์แจ้งสัญญาณ (Notification Appliance Devices, NAC)
• ปุ่มการควบคุมการทำงานต่าง ๆ เบื้องต้น เช่น
- ปุ่มรับทราบเหตุการณ์ (Acknowledge)
- ปุ่มหยุดเสียงการแจ้งเหตุ (Silence)
- ปุ่มเคลียร์เหตุการณ์ต่างๆ (Reset)
- ฯลฯ
• ชุดสำรองไฟ (Battery Unit)
- สามารถจ่ายไฟให้ระบบในสถาวะปกติได้ไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง และในสถาวะแจ้งเหตุได้ไม่น้อยกว่า 15 นาที
2. อุปกรณ์เริ่มสัญญาณ (Initiating Devices)
2.1 อุปกรณ์เริ่มสัญญาณแบบมือดึงจากบุคคล (Manual Pull Station)
• แบบทุบกระจก (Break Glass)
• แบบมือดึงจากบุคคล (Manual Pull Station)
- Single Action
- Double Action
การต่อวงจร การใช้งาน
2.2 อุปกรณ์เริ่มสัญญาณโดยอัตโนมัติ (Detectors)
• อุปกรณ์ตรวจจับความร้อน (Heat Detector)
1. ชนิดจำกัดอุณหภูมิ (Fixed Temperature)
- อุณหภูมิจำกัดอยู่ที่ 135’ F และ 200’ F
- สถานที่ติดตั้ง เช่น ในห้องครัวหรือห้องเครื่อง ห้องหม้อไอน้ำ (Boiler Room) เป็นต้น
2. ชนิดคอมบิเนชั่น (Combination)
- ทำงานเมื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่มี อัตราการเปลี่ยนแปลงเกินที่กำหนด & ทำงานที่อุณหภูมิ จำกัด (Rate of Rise & Fixed Temperature) อุปกรณ์จะทำงานที่อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไปในอัตรา 15 ํF (8 ํC) ต่อนาที
- อุณหภูมิอยู่ที่ 135 ํF และ 200 ํF
ระยะการติดตั้ง
- ระยะห่างไม่เกิน 7 เมตร และ 9 เมตร ในบริเวณทางเดินทีมีความกว้างไม่เกิน 3.6 เมตร ที่ระดับความสูงไม่เกิน 4 เมตร
- ระยะห่างการติดตั้งระหว่างอุปกรณ์ตรวจจับความร้อน (Heat Detector)กับเพดานหรือหลังคา ต้องมีระยะห่างไม่น้อยกว่า 15 มิลลิเมตร แต่ไม่เกิน 100 มิลลิเมตร
บริเวณใต้เพดาน
บริเวณใต้หลังคา
บริเวณหลังคาที่การระบายอากาศ
การต่อวงจรการใช้งาน
• อุปกรณ์ตรวจจับควัน (Smoke Detector)
1. อุปกรณ์ตรวจจับควันแบบ Photoelectric
"สามารถตรวจจับควันที่มีอนุภาคขนาดใหญ่ที่เกิดจากการลุกไหม้ของวัถตุที่คุตัวก่อนก่อนลุกเป็นไฟได้ช้า" เช่น การเผาไหม้สายไฟ พีวีซี เป็นต้น
ชนิดทีมีการทำงานด้วยการบังของแสง
รูปที่ 1 แสดงแหล่งของแสง ชนิดการบังแสง
รูปที่ 2 แสดงการบังของแสง
ชนิดทีมีการทำงานด้วยการการหักเหของแสง
รูปที่ 3 แสดงแหล่งของแสง ชนิดการหักเหของแสง
รูปที่ 4 แสดงการหักเหของแสง
ระยะการติดตั้ง
- ระยะห่างไม่เกิน 9 เมตร
- และระยะห่าง 12 เมตร ในบริเวณทางเดินทีมีความกว้างไม่ เกิน 3.6 เมตร ที่ระดับความสูงไม่เกิน 4 เมตร
- เพดานหรือหลังคา ต้องมีระยะห่างไม่น้อยกว่า 25 มิลลิเมตร แต่ไม่เกิน 600 มิลลิเมตร ที่ระดับความสูงไม่เกิน 4 เมตร
- ระยะห่างการติดตั้งระหว่างอุปกรณ์กับเพดานหรือหลังคา ต้องมีระยะห่างไม่น้อยกว่า 25 มิลลิเมตร แต่ไม่เกิน 600 มิลลิเมตร ที่ระดับความสูงไม่เกิน 4 เมตร
- ถ้าเกิน 4 เมตรต้องดูมาตรฐาน แต่ระยะห่างจะไม่เกิน 2.70 เมตร ที่ความสูง 10.50 เมตร
บริเวณใต้เพดาน
บริเวณใต้หลังคา
บริเวณหลังคาที่การระบายอากาศ
การต่อวงจร การใช้งาน
ชนิดการเดินสายวงจรของอุปกรณ์ตรวจจับควันจะมีอยู่ 2 ชนิด
• ชนิด 2 สาย (2-wire Smoke Detector) จำนวน Smoke จะขึ้นกับพิกัดกระแสภายในโซน
• ชนิด 4 สาย (4-wire Smoke Detector) จำนวน Smoke จะขึ้นกับพิกัดกระแสของ power supply
"สามารถเดินสายวงจรของระบบได้ทั้งแบบ 2 สาย (Class B) และแบบ 4 สาย (Class A)"
ชนิด 2 สาย (2-wire Smoke Detector)
แบบ Class B
ชนิด 2 สาย (2-wire Smoke Detector)
แบบ Class A
ชนิด 4 สาย (4-wire Smoke Detector)
แบบ Class B
• อุปกรณ์ตรวจจับควัน แบบลำแสง (Projected Beam Detector)
• เป็นอุปกรณ์ตรวจจับควัน ชนิดการบังแสง ประกอบไปด้วย
- อุปกรณ์ที่เป็นตัวรับ (Receiver)
- และอุปกรณ์ที่เป็นตัวส่ง (Transmitter)
ระยะการติดตั้ง
- ระยะห่างการติดตั้งระหว่างอุปกรณ์ตรวจจับควันแบบลำแสงแต่ละตัว ต้องมีระยะห่างไม่เกิน 10-14 เมตร ที่ระดับความสูงไม่เกิน 8 เมตร
- ระยะห่างการติดตั้งระหว่างอุปกรณ์ กับเพดานหรือหลังคา ต้องมีระยะห่างไม่น้อยกว่า 300 มิลลิเมตร ที่ระดับความสูงไม่เกิน 8 เมตร
- แต่ถ้าความสูงเกิน 8 เมตรต้องดูระยะห่างของเพดานจากมาตรฐานการติดตั้ง แต่ระยะห่างจะไม่เกิน 7.50 เมตร ที่ความสูง 25 เมตร
การต่อวงจร การใช้งาน
• อุปกรณ์ตรวจจับควัน แบบใช้ในท่อลม (Duct Smoke Detector)
อุปกรณ์ตรวจจับควันชนิดนี้จะเป็นชนิด Photoelectric
ระยะการติดตั้ง
การต่อวงจร การใช้งาน
• อุปกรณ์ตรวจจับเปลวไฟ (Flame Detector)
เป็นอุปกรณ์ตรวจจับเปลวไฟในขณะทีเกิดเหตุเพลิงไหม้ มักจะเอาไว้ป้องกันในบริเวณที่มีเชื้อเพลิงชนิดที่เกิดการ ลุกไหม้อย่างรวดเร็วและไม่เกิดควัน แต่จะเกิดเปลวไฟขึ้นทันที
"โดยทั่วไปในการเกิดเพลิงไหม้จะมีเปลวไฟเกิดขึ้นส่วนมากเปลวไฟ ที่เกิดขึ้นจะมีการแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าทีมีรังสีอุลตราไวโอเลต (Ultraviolet) และรังสีอินฟาเรด (Infrared) ออกมา" จึงสามารถแบ่งอุปกรณ์ตรวจจับเป็น 2 ชนิด คือ
1. ชนิดตรวจจับแสงที่เป็นแสงอินฟาเรด (Infrared)
เชื่อเพลิงที่แผ่แสงที่เป็นแสงอินฟาเรด (Infrared) มาก เช่น การลุกไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น
2. ชนิดตรวจจับแสงที่เป็นแสงอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet)
เชื่อเพลิงที่แผ่แสงที่เป็นแสงอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) มาก เช่น การลุกไหม้ของก๊าซ น้ำมันก๊าด สารทำละลาย หรือการเชื่อมโลหะ เป็นต้น
ระยะการติดตั้ง
ระยะห่างระหว่างจุดกำเนิดไฟถึงอุปกรณ์ตรวจจับ มีผลต่อความเข็มของการแผ่รังสี โดย ความเข็มของรังสีจะลดลงในปริมาณที่ผกผันของระยะห่างยกกำลังสองโดยประมาณ นั้นคือถ้าระยะห่างเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ความเข็มของการแผ่รังสีจากจุดกำเนิดไฟที่สามารถทำให้อุปกรณ์ตรวจจับทำงานได้ จะต้องมีความเข็มมากขึ้นถึง 4 เท่าจากเดิม
การต่อวงจร การใช้งาน
• อุปกรณ์ตรวจสอบน้ำไหล (Water Flow switch) และ ตรวจสอบสถานะของวาล์วน้ำ (Supervisory Switch)
อุปกรณ์ตรวจสอบน้ำไหล (Water Flow switch)
จะติดตั้งอยู่ที่ท่อ ดับเพลิงของแต่ละชั้นตรวจสอบการไหลของน้ำในขณะที่ระบบสปริงเกลอร์ ทำงาน น้ำจะไหลผ่านอุปกรณ์ ทำให้ใบพัดเคลื่อนที่ หน้าคอนเทค (NO, N) ที่อยู่ด้านบนอุปกรณ์จะเปลี่ยนสถานะ ซึ่งจะไปต่อวงจรไปยังระบบสัญญาณ เตือนอัคคีภัย
อุปกรณ์ตรวจสอบสถานะของวาล์วน้ำ (Supervisory Switch)
จะติดตั้งที่อยู่ที่ตัววาล์ว ทำหน้าที่ตรวจสอบสถานะของวาล์วน้ำว่า เปิด หรือ ปิด อยู่ ขึ้นอยู่กับความต้องการว่าจะตรวจสอบในสถานะใด
การต่อวงจร การใช้งาน
Water Flow switch
Supervisory Switch
• อุปกรณ์ตรวจจับชนิดป้องกันการระเบิด ( Explosion-proof )
Smoke detector
Manual pull station
Heat detector
Alarm Bell
3. อุปกรณ์แจ้งสัญญาณ (Notification Appliance Devices)
เป็นอุปกรณ์เพื่อส่งเสียงแจ้งเหตุ มีการแจ้งเป็นเสียงกระดิ่ง (Bell), เสียงและแสง (Horn & Strobe)
ส่วนการแจ้งเป็นเสียงประกาศด้วยลำโพง (Speaker) จะต้องมีระบบขยายเสียงแยกออกไปอีกระบบหนึ่ง แต่ต้องทำงานสัมพันธ์กับระบบการตรวจจับด้วย
ระยะการติดตั้ง
- ระยะห่างระหว่างอุปกรณ์แจ้งเหตุต้องไม่เกิน 30 เมตร
- ต้องมีระดับความดังของเสียงอย่างน้อย 85 Db.
การต่อวงจร การใช้งาน
4. อุปกรณ์แยกแจ้งสัญญาณ (Graphic Annunciator)
เป็นอุปกรณ์ทีมีไว้เพื่อดูจุดเกิดเหตุภายในอาคาร เพื่อบอกตำแหน่ง หรือจุดเกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว
ถ้าระบบเป็นระบบการแจ้งเหตุเป็นจุด ( Addressable System) อาจจะแสดงเป็น Graphic Software บน คอมพิวเตอร์ก็ได้
ลักษณะของ Graphic Annunciator
5 . อุปกรณ์เสริม (Auxiliary Devices)
เป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อส่งสัญญาณไปสั่งงานยังระบบต่าง ๆ ภายในอาคาร เพื่อเพิ่มระบบความปลอดภัย เช่น
• ระบบบังคับลิฟต์ลงมาชั้นล่าง
• การปิดพัดลมในระบบปรับอากาศ
• การควบคุมเปิดประตูทางออก เปิดประตูหนีไฟ ปิดประตูกันไฟ
• ควบคุมระบบกระจายเสียงและประกาศแจ้งข่าว
• เปิดระบบดับเพลิง (ขึ้นอยู่กับการออกแบบ)
• ฯลฯ